http://youtu.be/XzDW4mqPGU0
http://youtu.be/HFUvvZcPAEw
http://www.youtube.com/watch?v=aInFGgnCNMw&feature=player_embedded
แก้ปัญหาหมายถึงอะไร?
- หมาย ถึง เกิดปัญหาขึ้น ก็ต้องกำจัดจัดให้หมดไป นาข้าวมีปัญหาด้วยหรือ หลายคนอาจเถียงในใจ เพราะคิดอยู่เสมอว่า การปลูกข้าวถือว่าง่ายที่สุดกับการปลูกพืชชนิดอื่น และตั้งแต่สมัยโบราณ ปู่ ย่า ตา ยาย ทำนาปลูกข้าวไม่เห็นมีปัญหาอะไร?
- พันธุ์ ข้าวเขาก็ให้ธรรมชาติคัดให้ แต่ละพื้นที่ แต่ละภาคของประเทศ ก็ใช้พันธุ์ข้าวแตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสมของพื้นที่ จึงมีความต้านทานต่อปัญหาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ในที่นี้คงไม่ต้องแนะนำพันธุ์ข้าวโบราณเพราะในปัจจุบันไม่มีคนนิยมปลูกแล้ว ถึงมีบ้างก็เล็กน้อยด้วยสาเหตุหลายอย่าง อย่างที่สำคัญคือเก็บผลผลิตได้น้อย อาจลืมไปว่า พันธุ์ข้าวโบราณเป็นสายพัธุ์ข้าวที่มีปัญหาน้อยที่สุด
- คนโบราณไม่เดือดร้อนกับ ชีวิตประจำวัน มีความเป็นอยู่แบบสุขสบาย ไม่อดอยาก ที่นาก็มีมากแล้วแต่จะจับจองแผ้วถางเท่าไรก็ได้สุดแต่กำลังของตน จนเป็นคำกล่าวติดปากเรื่อยมาว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว นอกจากความอุดมสมบุรณ์ของดินในสมัยโบราณแล้ว หลังฤดูเก็บเกี่ยว เดือนธันวามคม-เดือนมกราคม กว่าจะเริ่มฤดูทำนาในเดือน พฤษภาคม ทำให้ดินมีโอกาสพักตัว 3-4 เดือน และคนโบราณทำนาปลุกข้าวโดยไม่ต้องใช้สารเคมีซักนิดเดียว จึงทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์แบบต่อเนื่องและยืนยาว
- คำว่าความสมบูรณ์ของ ดินหมายถึง สภาพดินที่ร่วนซุย อุดมไปด้วยอินทรีย์วัตถุ มีทั้งธาตุอาหารหลักอาหารรองครบถ้วน ต้นข้าวจึงมีการเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์แข็งแรง นั่นหมายถึงความต้านทานต่อ โรค แมลง ได้อย่างดีทีเดียว
- มีพันธุ์ข้าวลูกผสมเกิดขึ้นมาใหม่ ผลวิจัยจากนักวิชาการ โดยมีสายพันธุ์ใหม่มาเรื่อยๆ แต่ละสายพันธุ์เน้นการ เพิ่มผลผลิตให้ได้มากๆ และอายุการเก็บเกี่ยวสั้นลง
- พันธุ์ ข้าวลูกผสม จะเป็นพันธุ์ข้าวที่ไม่ไวต่อแสง คือออกรวงและเก็บเกี่ยวตามอายุ ส่วนใหญ่จะมีอายุการเก็บเกี่ยว 120 วัน ซึ่งสามารถปลุกได้ตลอดทั้งปี ในเขตชลประทาน 1 ปีสามารถปลูกได้ 1-3 ครั้ง ที่เรียกว่าการปลูกข้าวนาปรัง ต่างจากพันธุ์ข้าวที่ธรรมชาตคัด ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ข้าวที่ไวต่อแสง จะออกรวงในเดือนที่มี กลางวัน สั้นกว่า เวลากลางคืน คือเวลากลางวัน 11 ชม. กลางคืน 13 ชม. จะอยู่ในช่วงปลายเดือน ตุลาคม จึงสามารถปลูกได้ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ที่เรียกว่า ข้าวนาปี
- ประชากรเพิ่มมากขึ้น ความต้องการอาหารก้เพิ่มตามมา พื้นที่ทำนาแต่ละครัวเรือนก็ลดน้อยลงไป มีทางเดียวเท่านั้นคือ ต้องเพิ่มผลผลิต ให้ได้มากที่สุด ในเขตชลประทาน มีการทำนาปลูกข้าวกันปีละ 3-4 ครั้ง แรกๆ ก็ดีมากๆ ชาวนามีคุณภาพมากขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในขณะที่มีที่ดินปลูกข้าวกันครอบครัวละไม่มากนัก หารู้ไม่ว่าการทำนาของชาวนาในปัจจุบัน คือต้นเหตุของปัญหา
- ส่วนใหญ่พันธุ์ข้าว ลูกผสมจะให้ผลผลิตมากก็จริง แต่อ่อนแอ ไม่ต้านทานโรคแมลง เช่น ไม่ต้านทานโรคเขียวเตี้ย โรคไหม้ โรคใจุดสีน้ำตาล หนอนกอ หนอนห่อใบข้าว เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยจั๊กจั่นสีเขียว เป็นต้น แต่พอมาพูดถึงคนทำนา ก็ไม่ได้เกลงกลัวปัญหาเหล่านี้สักเท่าไหร่ เขาคิดอยู่เสมอว่า ถ้าปัญหาเกิด ก็ใช้ สารเคมีกำจัด สุดท้ายก็กำจัดได้เพียงชั่วครู่ พอโรคแมลงดื้อต่อสารเคมี ก็ไม่สามารถกำจัดได้ ต้องเปลี่ยนสารชนิดใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ จนปัจุบันมี่สารเคมีที่กำจัดโรคแมลงในท้องตลาด มากกว่า 108 ชนิด
- การเข้าใจวิธีปลูกข้าว จะช่วยลดปัญหาได้เป็นอย่างดี แต่ก่อนนิยมใช้วิธีปักดำ โดยการเพาะกล้าในแปลงเล็กๆ แล้วจึงย้ายกล้าลงไปปักดำในแปลงนาอีกที มีข้อดีตรงที่ต้นข้าวมีระยะห่างระหว่างต้นสม่ำเสมอ จึงมีการถ่ายเทอากาสได้ดี ไม่เป็นที่สะสมของโรคและแมลง ข้อเสียคือต้องใช้แรงงานคนจำนวนมาก และต่อมาก็ขาดแรงงานในการปักดำ ชาวนาก็ใช้วิธีการใหม่โดยการหว่านน้ำตม เพาะเมล็ดข้าวให้งอก แล้วหว่านลงในแปลงนาโดยใช้อัตราส่วน 15 กก.ต่อไร่ ไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานคนจำนวนมาก ก็ถือว่ายังเป็นวิธีที่ใช้ได้ดี แต่ทุกวันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น มีการเพิ่มอัตราเมล็ดพันธุ์ข้าวให้มากขึ้น โดยคิดว่า มีต้นข้าวในนามากๆ ก็จะได้รวงมาก บางรายใช้อัตราส่วน 30-40 กก.ต่อไร่ นี่ คือจุดแรกของปัญหาที่ต้องแก้ไข ต้นข้าวหนาแน่นเกินไป ก็ต้องใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณมาก เป็นที่สะสมของโรคและแมลง และจุดที่สอง การทำนาปีละ 1-4 ครั้ง ทำให้เวลาปลูกไม่พร้อมกัน ข้าวจึงเป็นห่วงโซ่อาหารให้กับโรคแมลงตลอดทั้งปี
- โรคเมาตอซัง สาเหตุ เกิดจากหลังเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จปลูกข้าวต่อทันที โดยที่ตอซังยังไม่ย่อยสลาย ในขณะที่เมล็ดข้าวงอกและลำต้นเจริญเติบโตขึ้นมาอาจไม่สังเกตุเห็นสิ่งผิด ปกติมากนัก แต่พอหลังจากฉีดยาคุมฆ่าหญ้า แล้วปล่อยน้ำเข้าแปลงนา ช่วงนี้จะสังเกตุเห็นอาการของโรคได้ชัดเจน เนื่องจากตอซังที่ยังสดอยู่ เมื่อมีน้ำท่วมขัง ตอซังก็จะเริ่มย่อยสลายจากเชื้อจุลลินทรีย์ตามธรรมชาติ ระหว่างนั้นอุณหภูมิใต้ดินจะสูงขึ้น ประกอบกับการเกิดก๊าซมีเทนขึ้นมาพร้อมๆกัน จะทำให้รากข้าวมีสีน้ำตาลเข้ม ไม่มีสีขาว ที่ชาวนาเรียกว่าโรครากดำ ต้นแคระแกรนไม่เจริญเติบโต ใบไหม้รุนแรงเนื่องจากเชื้อรา วิ๊แก้ปัญหาของชาวนา คือหว่านปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) ยิ่งใส่ปุ๋ยยูเรียข้าวยิ่งตาย เพราะไม่มีรากสีขาวเพื่อดูดซับปุ๋ย วิธการที่ถูกต้อง เมื่อ พบอาการต้องปล่อยน้ำออกจากแปลงนาให้แห้ง อย่างน้อย 7 วัน ระหว่างที่ปล่อยน้ำ ควรฉีดพ่นสารกำจัดเชื้อรา พร้อมอาหารเฉพาะทางเพื่อเร่งการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว สัง เกตุหน้าดินควรแห้งสนิทแตกระแหงเล็กน้อย รากข้าวออกใหม่มีสีขาวให้เห็นชัดเจน ปล่อยน้ำเข้าแปลงได้เลย หว่านปุ๋ย ยูเรีย 46-0-0 อัตราส่วน 10 กก.ต่อไร่ สารปรับปรุงดิน 2 กก.ต่อไร่ ฉีดพ่นสารกำจัดเชื้อรา อารเฉพาะทางเร่งการเจริญเติบโตอีกครั้ง ขบวนการต้องลงตัว ชัดเจน
Pic Happtree, EMS, Antira, Protector, Glue
- โรคไหม้ ใบจุดสีน้ำตาล จะ เห็นอาการชัดเจนระยะข้าวอายุ 45 วันขึ้นไป อาการไหม้ หรือจุดสีน้ำตาลจะเกิดขึ้นที่ใบแก่ คือใบล่างของต้นข้าว และจลามขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว ถ้ากำจัดไม่ได้โรคก็จะเกะทำลายเมล็ดข้าว ที่เรียกว่า โรคเมล็ดด่าง ต้องกำจัดให้เด็ขาดก่อนที่ข้าวจะตั้งท้อง ด้วยวิธีการเดิม คือปล่อยน้ำให้แห้ง (ต้องน้ำแห้งเท่านั้น) แล้วฉีดพ่นอีก 1-2 ครั้ง โดยใช้ผลิตภัณฑ์ชุดเดิม อาการของโรคหายสนิทแล้วจึงปล่อยน้ำเข้าแปลง แล้วหว่านปุ๋ยตามปกติ
No comments:
Post a Comment